เวลาที่เหลืออยู่

ตื่นมาเช้าวันหยุดกับคำถามที่ว่า ถ้าเย็นนี้ต้องตายแล้ววันนี้ทั้งวันจะทำอะไร
ผมคิดว่าทุกคนต้องมีแว๊บนึงแน่ๆ หละ ในขณะที่กำลังหายใจเข้าออกอยู่ ก็คิดว่าถ้าฉันตายไปจะเป็นยังไงนะ!

ความตายเป็นสิ่งที่เราเลี่ยงไม่ได้ เกิดแก่เจ็บตายเป็นสัจธรรมที่แน่นอนที่สุดสำหรับมนุษย์ทุกคน
ถึงเราจะรู้ดีว่าวันหนึ่งมันจะมาถึง แต่ไม่รู้ว่าเมื่อไร เราจึงไม่รู้ว่ามีเวลาเหลือแค่ไหนบนโลกใบนี้
บางคนจึงใช้ชีวิตเอ้อระเหย นั่งฆ่าเวลาบ้างหละ หายใจทิ้งไปวันๆ บ้างหละ
ส่วนบางคนก็ทำงานเป็นบ้าเป็นหลัง อย่างกับว่าชีวิตนี้เกิดมาเพื่อทำงานอย่างเดียว

work-life balance จึงกลายเป็นแนวคิดที่ยืนอยู่บนทางสายกลาง ระหว่างคนสองกลุ่มข้างต้น
แต่แล้ว Harvard Business Review ก็กลับมีบทความออกมาเมื่อ Mar 2014 ว่าการทำชีวิตสมดุลย์ทั้งสองอย่างนั้นมันเป็นแค่เพียงเทพนิยายเท่านั้น

hbr-march2014
(ถ้าใครอ่านแล้ว มาแชร์กันบ้างก็ดีนะครับ)

อย่างไรก็ตาม แม้แต่คน Gen Me ที่ใช้ชีวิตกันแบบสุดคุ้ม Work hard, Play hard กันจริงๆ จังๆ
ต่างก็มีคำถามที่ทุกคนล้วนต้องถามกับตัวเองว่า “สิ่งที่ทำอยู่นี้ใช่หรือเปล่า” เราต้องการมันจริงๆ ไหม
เพราะบางคนก็ทำงานทุกวัน มีตังค์ก็ใช้กันเต็มที่ มีแรงอยากไปเที่ยวเมืองนอก อยากไปไหนก็ไป แต่กลับไม่มีเวลาทำตามฝันของตัวเองเลย
บางคนลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าเคยฝันไว้ว่าอะไร พอนึกขึ้นมาได้อีกทีเวลาก็ผ่านล่วงเลยจนคิดว่ามันไม่พอจะทำตามฝันได้อีกแล้ว

หนังเรื่อง About time ที่พระเอกแค่กำมือในห้องมืด นึกถึงช่วงที่ต้องการก็สามารถย้อนเวลากลับไปได้
ฟังดูแล้วเหมือนจะวิเศษเลย ถ้าเราสามารถทำแบบนั้นได้บ้าง เราก็จะมีโอกาสกลับไปแก้ตัว แก้ไขในสิ่งที่เราคิดว่ามันผิดพลาดในอดีต หรือแม้กระทั่งทำให้เรากลายเป็นคนที่รวยที่สุดในโลกได้ ทำโน่นทำนี่ได้สมใจ
แต่สุดท้ายหนังก็บอกเป็นนัยๆ ว่าพลังพิเศษนั้นไม่ได้ทำให้ชีวิตพระเอกเปลี่ยนไป เพราะการเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่างในอดีต ก็อาจส่งผลกระทบถึงอะไรอีกอย่างในอนาคตที่เขาอาจไม่ต้องการมัน
ดังนั้นสิ่งที่พระเอกได้เรียนรู้คือ การใช้ชีวิตอย่างที่เป็นอยู่ แต่มองในมุมที่ทำให้เขามีความสุขกับมัน
หนังเรื่องนี้ถือเป็นหนังเรื่องที่ดีที่สุดเรื่องหนึ่งที่ทำให้ผมรู้สึกถึงคุณค่าของการมีชีวิตอยู่โดยผ่านสายตาคู่ใหม่ในการมองโลกใบเดิม และอย่าไปโทษอดีต

[youtube]http://www.youtube.com/watch?v=7OIFdWk83no[/youtube]

ต่อมาหนังเรื่อง Edge of Tomorrow ก็พูดถึงการย้อนเวลาเช่นกัน แต่ครั้งนี้พระเอกต้องตายก่อนถึงจะย้อนกลับมาเช้าก่อนวันออกรบ
และสิ่งที่เกิดขึ้นกับพระเอกคือ ทุกครั้งที่ตายไป ความทรงจำไม่ได้หายไป การกลับมามีชีวิตอยู่ ณ จุดเดิม คือการได้เริ่มต้นใหม่แบบที่มีข้อมูลในอนาคตแถมมาด้วย
ดังนั้นทุกครั้งพระเอกเก่งขึ้น มีประสบการณ์มากขึ้น รู้ว่าอะไรที่ทำแล้วพลาดก็จะไม่ทำ สามารถที่จะเลือกทางเดินในชีวิตแบบอื่นๆ ได้ แต่ชีวิตเค้าตายซ้ำตายซาก ตายวันละหลายๆ ครั้ง
แม้หนังเรื่องนี้จะมันส์ในอารมณ์ขณะนั่งดูอยู่ แต่มันกลับสร้างความกลัวหยั่งลึกเข้าไปในเซลสมองเลยว่า ถ้าชีวิตเราติดลูปจริงๆ เราจะรับได้หรือ
มันแย่กว่าการมีชีวิตอยู่ แต่ไม่รู้ว่าจะตายเมื่อไรอีกนะครับ ลองนึกดูดีๆ สิ

[youtube]http://www.youtube.com/watch?v=yUmSVcttXnI[/youtube]

โชคดี ในโลกของความเป็นจริง เราไม่ได้ตายกันวันละหลายๆ รอบ
การ reset ย้อนเวลา มันก็ทำได้แต่ในเกมกับในหนังเท่านั้น
ถึงแม้เราไม่อาจจะแก้ไขอดีตได้ แต่อย่างที่ทุกคนทราบกันดี เราสามารถสร้างอนาคต ด้วยการทำปัจจุบันให้ดีที่สุดได้

มีคนเคยบอกว่าการที่เราพลาดหรือสูญเสียอะไรบางอย่างในวันนี้ (หากเราพยายามเต็มที่แล้ว)
มันคือ การเตรียมความพร้อมของเราเพื่อสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าในวันข้างหน้า (หากเราไม่เลิกหรือยอมแพ้เสียก่อน)

ว่าแล้ว เลยจำได้เลย เมื่อหลายปีก่อน ผมเคยคุยกับทีปรึกษาธุรกิจของหน่วยงานภาครัฐอยู่ท่านนึง
ท่านเล่าให้ฟังว่า ท่านเป็นคนแรกๆ ของประเทศไทยที่ทำเว็บเกี่ยวกับ HR ตั้งแต่ยังไม่มี jobsdb jobtopgun
แต่ก็เลิกไป เพราะไม่มีแรงทำ ถ้าวันนั้นไม่เลิก วันนี้คงดังและรวยไปแล้ว
ผมมานั่งคิดๆ ดู อืมม… นี่คือเหตุผลให้ผมเจอท่านในวันนั้น มันทำให้ผมได้เห็นถึงตัวอย่างของคนที่ล้มเลิกอะไรบางอย่างไปชัดเจน

คนเรามักโทษอดีต เพราะเมื่อมันผ่านไปแล้ว เรารู้ว่าอะไรได้เกิดขึ้น และก็มาคร่ำครวญว่า รู้งี้ทำงั้นดีกว่าหรือไม่ทำดีกว่า
การที่คนเรา ไม่ perfect ไม่ใช่เรื่องแปลก การฝึกฝนจะทำให้เราชำนาญขึ้น และผิดพลาดน้อยลง
ทุกครั้งที่เราตัดสินใจผิด ขอให้อดีตเป็นครู ดีกว่าให้มันเป็นวิญญาณร้ายที่คอยตามหลอกหลอน
ทุกๆ สิ่งบนโลกใบนี้เกิดขึ้นเพราะมีเหตุผลบางอย่าง Everything Happens for a Reason
แล้วตอนนี้เราจะมานั่งคิดทำไมหละครับว่ามีเวลาเหลือเท่าไร หากแต่เราจะใช้เวลาที่มีอยู่ทำในสิ่งที่เราเชื่อมั่นอย่างเต็มที่ และจะได้ไม่เสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นไปแล้ว หรือยังไม่ได้เกิดขึ้นในอนาคต

Leave a Reply