งาน

“วันจันทร์ทำไมงานเยอะจัง”

“สุขใดแล้ว จะเท่าศุกร์ เสาร์ อาทิตย์”

“ทำงานทุกวัน ไม่มีวันหยุด ระวังไม่ได้แก่ไปใช้เงินนะ”

ประโยคเหล่านี้เป็นสิ่งที่เรามักจะได้ยินสลับกันไป ดีบ้าง ร้ายบ้าง ตามอารมณ์คู่สนทนา

โดยทั่วไป ปัจจุบัน คนส่วนมากทำงาน 8×5 หรือ วันละ 8 ชั่วโมง สัปดาห์ละ 5 วัน นอกจากนี้ผมก็เคยได้ยินว่ามีเพื่อนบางบริษัทให้พนักงานทำงาน 10×4 คือวันละ 10 ชั่วโมง สัปดาห์ละ 4 วัน [สนใจอ่านได้ที่นี่] ส่วนตัวผมเองทำงานตลอดเวลาที่อยากทำ ไม่ได้มีเวลาเข้าออกงาน อาจเรียกได้ว่า 24×7 แล้วลบ เวลานอน เวลากิน เวลาพัก เวลาเล่นออก ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเรียกว่า ทำงานทุกวัน หรือ หยุดทุกวัน กันแน่ บางทีแม่ก็ยังงง แล้วท่านผู้ชมงงไหมครับ?

ในหนังสือ Rework และ Remote ที่แต่งโดย Jason Fried,‎ David Heinemeier Hansson (DHH) ได้มีการนำเสนอแนวทางการทำงานสมัยใหม่ เพราะเทคโนโลยีสามารถเชื่อมคนเข้าหากัน ทำให้เราสามารถติดต่อสื่อสารกันได้ตลอดเวลา การทำงานไม่ได้ถูกจำกัดด้วยเวลาและสถานที่อีกต่อไป ผมคาดหวังว่าน้องๆ ที่ทำงานด้วยจะ work smart มากกว่า work hard สิ่งที่ผมสามารถมอบให้ทีมงานได้คือการสร้างสภาพแวดล้อมที่ผมคิดว่าเหมาะกับการทำงานในยุคนี้ ซึ่งรวมไปถึงความไว้วางใจ อิสระในการทำงาน และความรับผิดชอบที่แสดงออกถึงความเคารพต่อคนทำงานและวิธีการทำงานของทุกคน

อย่างไรก็ตาม เราคงปฏิเสธไม่ได้ว่าทุกวันนี้การทำงาน เป็นการเอาเวลา เอาความสามารถ ไปแลกเงิน เพื่อเอาเงินไปซื้ออาหาร ปัจจัย 4 หรือ สิ่งอำนวยความสะดวกสบายต่างๆ

Cash flow quadrant ถูกอธิบายในหนังสือ Rich Dad Poor Dad โดย Robert Kiyosaki

ด้านซ้ายเป็น การทำงานแบบ active income หรือเอาเวลาแลกเงิน ถ้าไม่ทำงานก็ไม่ได้เงิน
E พนักงานประจำ คือ คนที่มีคนอื่นจ้างให้ทำงาน
S นายตัวเอง คือ คนที่จ้างตัวเองทำงาน

ด้านขวาเป็น การทำงานแบบ passive income คือให้เงินไหลเข้ามาเรื่อยๆ แม้ในบางเวลาที่ไม่ได้ทำงาน
B เจ้าของธุรกิจ คือ คนที่สร้างระบบ จ้างให้คนอื่นมาทำงานแทนตน
I นักลงทุน คือ คนที่เอาเงินมาทำงาน เพื่อให้ได้เงินกลับมา

ถ้าสนใจรายละเอียดก็ลองหาหนังสือเล่มนี้อ่านดูนะครับ เป็นหนังสือคลาสิคที่ยังมีวางขายอยู่ ซึ่งนี่คือมุมมองในมติหนึ่งที่ทำให้คนที่อ่านแล้วรู้สึกอยากเปลี่ยนตัวเองจาก E ไปเป็น I เพื่อให้ชีิวิตมีความสบาย จะได้มีเงินใช้ และมีเวลาไปใช้เงิน

แต่… จุดนี้มันก็มีหลุมพรางอยู่ตรงที่ว่า มนุษย์เราทำงานแค่เพื่อให้ได้เงินไปซื้อความสุข ความสะดวกสบายแค่นั้นจริงหรือ??? งั้นก็แปลว่า งานไหนได้เงินมากกว่างานนั้นก็ดีสิ ซึ่งแน่นอนว่า “ไม่ใช่ครับ”

มีวลีเด็ดจากองค์ดาไลลามะว่า “มนุษย์เรานึ้ ยอมสูญเสียสุขภาพเพื่อทำให้ได้เงินมา แล้วต้องยอมสูญเสียเงินตรา เพื่อฟื้นฟูรักษาสุขภาพ แล้วก็เฝ้าเป็นกังวลกับอนาคต จนไม่มีความรื่นรมย์ กับปัจจุบัน ผลที่เกิดขึ้นจริงๆ ก็คือ… เขาไม่ได้อยู่กับปัจจุบัน…หรือแม้กระทั่ง อยู่กับอนาคต เขาดำเนินชีวิตเสมือนหนึ่งว่าเขา จะไม่มีวันตาย และแล้วเขาก็ตาย… อย่างไม่เคยมีชีวิตอยู่จริง”

แปลว่า “งาน” ที่เราทำอยู่มันต้องไม่ใช่ทำแค่เพื่อให้ได้เงินแล้ว เพราะเราต้องเสียเวลา บางทีต้องเสียสุขภาพ (ไม่ว่าทางกายหรือทางใจ) เพื่อให้งานสำเร็จลุล่วงอย่างที่ตั้งใจ แต่งานอีกมุมหนึ่งก็คือสิ่งเติมเต็มในชีวิต มันคือเส้นทาง คือเป้าหมาย คือตัวตนที่เราสร้างขึ้นมาเพื่อบ่งบอกว่าเราคือใคร

ถึงจุดนี้บางคนอาจบอกว่า มันก็พูดง่ายนะ เพราะคนส่วนใหญ่ในสังคมยังต้องทำงานปากกัดตีนถีบเพื่อหาเลี้ยงชีพ เพราะเค้ายังไม่มีเงินมากพอ จะมีสักกี่คนที่สามารถทำงานเพื่อหาเลี้ยงจิตวิญญาณ หรือเติมเต็ม Self actualization อย่างที่ Maslow ได้ตั้งทฤษฎีเอาไว้ มันต้องเป็นคนที่มีทุกอย่างแล้วสิ ถึงจะไปทำอะไรแบบที่ใจต้องการได้

ก็มีเรื่องเล่าตลกๆ อยู่ว่า นักธุรกิจคนหนึ่งพูดกับชายที่กำลังตกปลาอย่างมุ่งมั่นว่า
“ถ้าชอบตกปลาก็น่าจะทุ่มเทให้เต็มที่นะ ตกให้ได้เยอะๆ แล้วจะได้เอาไปขายที่ตลาด จะได้มีเงินไปล่องเรือตกปลาน้ำลึกจะได้ปลาเยอะๆ แล้วเอาไปขายที่ตลาดส่ง พอมีกำไรมากขึ้นจะได้เอาไปซื้อเรือใหญ่ขึ้น แล้วจะได้จ้างคนมากขึ้น กลายเป็นบริษัทประมง จะได้ขยายงานออกไปได้เรื่อยๆ”

ชายตกปลาถามกลับไปว่า “บริษัทใหญ่แล้วยังไงต่อ”

นักธุรกิจก็ตอบว่า “จะขายบริษัททิ้งเข้าตลาดหลักทรัพย์ หรือให้คนรุ่นต่อไปมาบริหารต่อก็ได้ เราจะได้มีเวลาไปใช้ชีวิตอิสระทำเรื่องที่ชอบได้อย่างเต็มที่”

… เรากำลังใช้ชีวิต กำลังแข่งขัน กำลังทำทุกสิ่งทุกอย่างอยู่เพื่อ …

หลายคนคงอ่านแล้วคงสงสัยว่าเรื่องนี้มันผิดปกติตรงไหน
เมื่อนักธุรกิจเดินจากไปนักเดินทางก็ออกมา เค้าพูดว่า “การปีนขึ้นเขา จุดหมายปลายทางคือยอดเขา แต่คนที่ปีนโดยไม่ได้สนใจความสวยงามของธรรมชาติระหว่างทาง เมื่อขึ้นถึงยอดเขาก็ไม่มีความหมายอะไร”

ชีวิตเกิดมาทุกคนต้องตาย แต่ระหว่างที่มีชีวิตอยู่เราได้ทำประโยชน์อะไรให้โลกใบนี้หรือเปล่า ทุกคนล้วนมีความสามารถ มีความชอบ มีหน้าที่ของตัวเอง ไหนๆ ก็โชคดีที่เกิดมาแล้ว จะปล่อยเวลาให้สูญเปล่าทำไม

เราสามารถทำสิ่งที่ชอบได้ แต่เราควรมีเป้าหมายเพื่อจะได้ใช้เวลาที่มีอยู่บนโลกใบนี้ได้อย่างมีความหมาย อยู่ให้คนรัก ตายจากไปให้คนคิดถึง …

“ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องจริงครับ เชื่อผมเถอะ เพราะผมได้อ่าน ได้ฟัง ได้ดู มาจากในอินเทอร์เน็ต”

Leave a Reply