5 ข้อ ควรรู้สำหรับ StartUp ที่จะไปออกบูธ

มาเฝ้าบูธงาน StartUp Thailand ScaleUp Asia ได้ 3 วัน เห็นน้องๆ รุ่นใหม่ๆ ยืนออกบูธแล้วอยากจะแชร์จังเลย เผื่อจะเป็นประโยชน์บ้างในวันสุดท้าย หรือถ้าไม่ทันใครมาเจอ blog นี้ทีหลัง ก็อาจเอาไปใช้งาน Techsauce Summit 2017 ที่จะจัดขึ้นปลายเดือน หรืองานอื่นๆ ต่อก็ได้นะครับ

1. เราควรตั้งเป้าหมายให้ชัดเจนว่ามาออกบูธทำไม เช่น มาทดสอบไอเดีย มาหาลูกค้า มาประชาสัมพันธ์อยากเป็นข่าว มาให้อยู่ในเรดาร์นักลงทุน มาฆ่าเวลาอยู่บ้านมันว่าง หรืออะไรก็แล้วแต่ ถ้ารู้ว่ามาทำไม มันจะทำให้การมายืนบูธของเราทำได้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ไม่ต้องมาเสียเที่ยวเสียเวลา มาแล้วไม่ได้อะไร พอปักธงแล้วก็คุยกันในทีมก่อน ให้ทุกคนทำเหมือนๆ กันเพื่อจะได้สื่อสารออกมาตรงจุดมากขึ้น ยกตัวอย่างเช่น ถ้ามาเพื่อทดสอบไอเดีย เนื่องด้วย product เรายังอยู่ใน early stage เราก็คุยฟุ้งได้เลยว่า product เราทำโน่นนี่นั้นได้ 1, 2, 3 เพื่อดู feedback ของคนฟังว่ามีปฏิกริยาอย่างไร แล้วเก็บข้อมูล จดบันทึกไว้ เอากลับมาปรับปรุงแก้ไข product เราต่อ

2. เราต้องรู้จักคนมาเยี่ยมชมบูธ ซึ่งสามารถแบ่งได้หลักๆ 4 ประเภท
– ว่าที่ลูกค้า : เราต้องตั้ง target ก่อนว่าลูกค้าเราเป็นใคร น่าจะมี character แบบไหน ใครผ่านมาน่าจะใช่ ดึงตัวมาคุยเลยครับ อย่ายืนเฉยๆ รอเค้าเข้ามาหา
– นักลงทุน : มีทั้งจริง ทั้งหลอก คนเงินเหลือมีเยอะ คนโง่มีไม่มีเยอะครับ ไม่มีใครลงทุนในบริษัทที่มองไม่เห็นผลกำไร bottom line คือเราสามารถ prove ให้เค้าเห็นได้ไหมว่ามีศักยภาพแค่ไหน ตลาดใหญ่แค่ไหน และเราจะไปถึงจุดนั้นได้อย่างไร ซึ่งเราก็ไม่ใช่แค่ขายของเราอย่างเดียว ต้องวัดเคมีของคนที่มาคุยด้วย ถ้ามีแต่เงิน หรือมีแต่แมงโม้ ก็อย่าไปเสียเวลาคุยด้วยเยอะครับ
– คู่แข่ง : คนพวกนี้มาเนียนๆ แบบมาขอไอเดียหน่อย ทำอะไรได้บ้าง มีอะไรใหม่ๆ ไหม ซึ่งบางคนคือมา “ก็อบ” กันตรงๆ ใครทำอะไรดีทำด้วย ส่วนบางคนคือมาดูว่าใครทำอะไรแล้ว ฉันจะไม่ทำตาม
– คนไม่มีจุดหมาย : อ้อพี่ก็ไม่รู็ว่ามาดูอะไรครับ เห็นเค้ามากันก็เลยลองมาดู ว่าแต่น้องทำอะไรอะ เจอแบบนี้ให้โบชัวร์แล้วสวัสดีครับทีนึง จากนั้นให้พี่เค้าเดินผ่านไปก็แล้วกันครับ พูดแล้วเหนื่อยเปล่า

3. ใครในทีมควรมายืนบูธ
ก่อนอื่นระลึกไว้เสมอว่าคนยืนบูธคือหน้าตาของเรา แต่เนื่องด้วยการเป็น StartUp เรามี resource ไม่เยอะ ใช้สอยเฉพาะที่จำเป็น ดังนั้นก็ต้องย้อนกลับไปที่ข้อ 1. ว่าเรามาทำไม เพราะถ้าเราชัดตั้งแต่ข้อแรก ข้อนี้เราจะรู้ว่าใครควรทำหน้าที่ในการยืนบูธ ไม่ใช่ใครก็ได้นะ ไม่ใช่เอะอะจ้างสาว x เซ็กซี่มายืนท่าเดียว วิธีการคิดก็อย่างเช่น ถ้าต้องการทดสอบไอเดีย ให้เอา dev มายืนครับ เอามาให้ได้ยินลูกค้าว่าเค้าพูดอย่างไร ซึ่งก็เป็นเรื่องยากที่ dev จะอยากคุยกับลูกค้า แต่ถ้าเป็นสิ่งที่ควรทำก็ต้องทำ อธิบายเค้าให้เข้าใจ หรือถ้าจะมาให้เป็นข่าว ก็ต้องทำบูธให้มันดึงดูด เอา pr marketing มาวาง strategy จะจ้าง pretty mc เอา mascot ไปเดินให้ทั่วงานก็ว่าไป (อย่าลืมคำนวณด้วยนะครับว่าคุ้มไหมที่จะทำอย่างนั้น เป็นข่าวแล้วได้อะไร คิดไกลๆ ครับ อย่าคิดแค่ว่าอยากให้คนรู้จัก เพราะถ้ารู้แล้วของมันไม่ดี ทีมงานมันไม่พร้อม ลูกค้าจะใช้บริการก็ไม่ประทับใจ อย่าเป็นข่าวซะเลยยังดีกว่า)

4. พูดอะไรดี พูดนานแค่ไหน
ต้องเตรียม ต้องเตี๋ยมกับทีมทุกคนที่มายืนบูธดีๆ เลยครับ นี่คือโอกาสที่เราจะได้เจอผู้คน ดังนั้นทุกคนในทีมควรสื่อสารออกไปเหมือนๆ กัน ในทิศทางเดียวกัน ง่ายๆ ครับพูดให้ได้อย่าง Simon Sinek ให้ Start with why บอกถึงการมีตัวตนของเรา เรากำลังแก้ปัญหาอะไรให้กับใคร ซึ่งกว่าจะได้มาซึ่งประโยคสั้นๆ นี้ต้องใช้ความคิดนะครับ ต้องเรียบเรียงประโยค มันต้องซ้อมๆๆๆ ไม่ใช่พูดเป็นนกแก้วนกขุนทอง
และอย่างน้อยเราควรจะมี 2 เวอร์ชั่นครับ
– เวอร์ชั่นสั้น พูดให้จบใน 1 นาที (elevator pitch) เอาไว้สำหรับ screen ความสนใจของคนที่มาด้อมๆ มองๆ ที่หน้าบูธ ให้เค้ารู้ว่า เราทำอะไร และเรามางานนี้ทำไม ซึ่งควรจบด้วยคำถามที่ทำให้เราตัดสินใจได้ว่าจะคุยกับเค้าต่อไหม
– เวอร์ชั่นยาวๆ อาจจะประมาณ 5-15 นาที แล้วแต่เนื้อหาของแต่ละคน ซึ่งก็ไม่ควรยาวกว่านี้ ถ้าใครสนใจมากก็นัดกันหลังงาน หรือตอนเย็นจะดีกว่า จะได้ไม่เสียโอกาสที่จะคุยกับคนอื่นๆ ต่อ

5. Material ที่ต้องเตรียมมามีอะไรบ้าง
มันหมายถึงเงิน หมายถึงทรัพยากรที่ต้องใช้ ถ้ามีน้อย ใช้น้อยแต่พองาม ถ้ามีมาก ก็เพิ่มเติมตามความเหมาะสม
จอคอมพ์ – เป็นอุปกรณ์ช่วยอธิบายได้ดี ใช้ demo web ได้ เปิด vdo ได้ แต่นั้นหมายถึงเรามีของเหล่านี้พร้อมโชว์แล้ว
โบชัวร์ – พื้นฐานที่ใครๆ ก็มี ลองนึกถึงตัวเราเป็นคนมาเดินนะครับ บูธไหนๆ ก็แจก สุดท้ายอยู่ที่ไหนครับ ถังขยะแน่นอน จะมีโบชัวร์ไม่กี่ใบที่มีโอกาสถูกเก็บไว้ ดังนั้นเอาเรียบๆ ไม่ต้องเยอะครับ แค่ให้มันเป็นตัวแทนในการสื่อสารให้เค้ามองแล้วนึกออกว่าเค้าไปเดินบูธไหนมา ก่อนจะโยนทิ้งลงถังขยะ
นามบัตร – ก็ไม่ต่างจากโบชัวร์เท่าไร แต่เอาไว้ให้สำหรับคนที่เราอยากคุยด้วยต่อ แล้วอย่าลืมแลกนามบัตรเค้ามาด้วยนะครับ (แต่ส่วนนึงจะบอกว่าไม่ได้พกมา) สมัยนี้ก็ขอ line ไว้คุยต่อเลยก็ได้ ถ้าไม่ให้ก็แปลง่ายๆ ว่าเค้าไม่อยากคุยด้วย ไม่ต้องตื้อต่อครับ ho ho
x-stand banner backdrop – ถ้ามีไปวาง ขอร้องนิดนึง ไม่ต้องเยอะครับ อยากไปเบียดบังเพื่อนบ้าน เอาไปวางให้เป็นสื่อที่คนมายืนดูใกล้ๆ แล้วเค้าอยากคุยต่อกับเรา

ครับ การไปยืนบูธ 3-4 วัน อย่าปล่อยให้เสียเวลาเปล่า อย่าเป็นแค่การไปแสดง spirit ได้มีส่วนร่วม ทำงานแบบ StartUp ต้อง Lean ครับ รู้ว่าเรากำลังทำอะไรเพื่ออะไรอยู่เสมอ จะได้ไม่ใช้ทรัพยากรเกินตัว ขอให้ทุกคนโชคดี มีความสุข สมหวังดังใจหมายครับ

*** ปล. ภาพประกอบไม่เกี่ยวข้องกับเนื้อหานะครับ 555 ***

Leave a Reply