แตกต่างอย่างมืออาชีพ

วันก่อนพอดีได้มีโอกาสพูดคุยกับ ท่านคณบดีของมหาวิทยาลัยเอกชนแห่งหนึ่ง เลยได้เห็นช่องว่างแปลกๆ ของประเทศสารขัน อยากจะเอามาแชร์ให้อ่านกันครับ

สมมตินะครับ ผมแบ่งคนออกตามช่วงอายุเป็น 3 ช่วง ได้แก่

1) เด็กมัธยม

2) นิสิต นักศึกษา ปริญญาตรี

3) คนวัยทำงาน

เราจะพบว่า เด็กมัธยม คือ ตัวอ่อนที่ยังไม่รู้จักตัวเอง การเลือกคณะและมหาวิทยาลัย คือ มาจากพ่อแม่ปลูกฝัง ตามเพื่อน ตามกระแส น้อยนักที่จะรู้จักตัวเองจริงๆ และน้อยกว่านั้นคือรู้จักตัวเองและสามารถก้าวตามฝันของตัวเองได้ ดังนั้นเด็กที่สอบเข้ามหาลัยรัฐบาลไม่ติด ก็จะมาเล็งมหาลัยเอกชนที่น่าสนใจ ซึ่งก็เป็นปัญหาตลกๆ ของมหาวิทยาลัยอีก เพราะหลักสูตรที่มหาลัยเปิดต้องตอบโจทย์ 2 ฝั่งคือ ฝั่งผู้เรียน และฝั่งธุรกิจ

ฝั่งผู้เรียน เด็กๆ ต้องการอะไรที่มันชิค มันเท่ มัน cool ฝั่งธุรกิจก็มีความต้องการคนทำงานจำนวนมาก มีเท่าไรก็ไม่เคยพอ  แต่ความตลกคือเด็กกับธุรกิจไม่เคยต้องการแบบเดียวกันซะด้วยสิ อย่างเช่น Software engineer, Cyber security, Cloud computing มันเป็นความต้องการเฉพาะด้าน ที่ต้องรู้เชิงลึก ภาคธุรกิจจะบ่นว่าเด็กที่จบออกมาจากมหาลัยใช้งานไม่ได้สักคน ส่วนเด็กที่อยู่มัธยมตอนจะเลือกหลักสูตร สาขาที่เรียน มันก็ไม่เคยรู้เลยว่าเรียนอะไรดี แล้วจบออกมาเป็นอะไร ตลาดหรือสังคมต้องการอะไร ครูแนะแนวก็ไม่จ๊าบพอที่จะอัพเดตตัวเองให้รู้จักอะไรที่มันใหม่ๆ มากๆ แล้วก็เลยบอกเด็กไม่ได้ว่าควรจะเรียนอะไร เพราะอะไร

ความสนุกสนานในประเทศสารขันยังไม่จบลงเท่านั้น มันมีค่านิยมว่าสมัยนี้ต้องจบอย่างน้อยปริญญาโท นิสิต นักศึกษาที่ยังไม่รู้จักตัวเองก็ตะบี้ตะบันเรียนมันเข้าไป เรียนไปแบบที่ไม่รู้ว่าจะเอาความรู้ที่ได้จากการเรียนไปใช้ทำ…อะไร และพบจบออกมาเสร็จก็พบว่าไม่ใช่สิ่งที่สังคมหรือตลาดต้องการ (ต่อให้จบปริญญาโทก็เถอะ) แล้วก็จะมานั่งถามตัวเองต่อ หรือนั่งให้คนอื่นถามว่า เรียนไปทำไม หากนั่งนับนิ้วดูจากประถมจนจบปริญญาโท ก็ซัดไป 17-18 ปี ใช้เงินพ่อแม่ไปตั้งเท่าไรก็ไม่รู้ แล้วเงินเดือนที่ได้จะพอกินไหมก็ไม่แน่ใจ สุดท้ายก็ไปโทษระบบการศึกษา โทษสังคมอีก ว่าทำไมมันถึงได้ไม่มีความยุติธรรมแบบนี้!!!

ถ้าถามว่าแล้วไม่เรียนหรือเรียนไม่จบออกไปตามล่าหาฝันเลยดีกว่าไหม มันก็มีตัวอย่างผู้ประสบความสำเร็จอย่างคุณตัน ภาสกรนที หรือ คุณต๊อบ เถ้าแก่น้อย แต่เอามาหารจำนวนประชากรดูสิครับ นั่นคือ 2 ใน 60 ล้านคนนะ แล้วตัวเราเองมีความฝัน มี passion มีแรงจูงใจว่าจะไปทำอะไรที่ชัดเจนแบบนั้นไหม

tan-maitan top_story

ถ้าไม่มี เกิดอะไรขึ้นต่อหรือครับ พอมาเป็นคนทำงาน ก็กลายเป็นไม่รู้ว่าตัวเองกำลังทำอะไรไปเพื่ออะไร ก็นั่งทำงานไปวันๆ หรือไม่งั้นก็หางานเสริมทำเพื่อให้ได้เงินเยอะขึ้น และก็ไปเบียดเบียนเวลาทำงานหลัก แล้วก็ไม่เก่งอะไรเลยสักอย่าง แล้วก็ไม่รวย แล้วก็กลับมาโทษสังคมอีกว่า ทำไมชีวิตมันถึงเป็นเช่นนี้ โอ้วววว มายกอด นี่มันวงจรอุบาทว์ เลยชัดๆ ครับ

บางคนทำ MLM บางคนก็เล่นหุ้น แล้วก็ไม่ได้ทำจริงจัง ทำเพราะมีคนบอกว่า “เราสามารถสร้าง passive income ได้ เราจะมีอิสระทางการเงิน” หรือ พูดง่ายๆ ว่า “เราจะรวย” นั้นเอง แล้วเมื่อตั้งเข็มทิศผิดตั้งแต่วันแรกที่เรือออกจากฝั่ง ออกไปเจอมรสุมเข้า กัปตันก็ขาสั่นสิครับ ทำอะไรไม่ถูก แก้ปัญหาไม่เป็น เรือก็ล่ม แล้วสุดท้ายก็จะมาโทษว่าสิ่งที่ทำมันไม่ช่ายยยอะ ไปบอกเพื่อนๆ ต่อ ไปตั้งกระทู้ใน pantip ว่าระวังตัวให้ดีนะ เหอๆๆๆ บ่นกันเข้าไป

ขอย้ำนะครับ ผมไม่ได้บอกว่า การทำธุรกิจขายตรง ธุรกิจเครือข่าย หรือ การไปเป็นนักลงทุน เป็นเรื่องไม่ดี ตรงกันข้าม ถ้าคุณทำเป็น คุณมีความรู้ ความเข้าใจ มากเพียงพอ ได้ลงมือทำ มีประสบการณ์กับมัน ก็มีคนที่ร่ำรวยมหาศาลจากสิ่งเหล่านี้ และจากการที่ผมได้เคยพูดคุยกับคนเหล่านี้มาก่อน ทุกคนเคยคิดจะรวยทางลัด และเมื่อเวลาผ่านไปทัศนคติต่อสิ่งที่เค้าทำเปลี่ยนไป คนที่รวยไม่มีใครคิดอยากรวยเลยสักคน เค้าแค่สนุกกับสิ่งที่ทำ และแชร์ความรู้ที่เค้ามีให้คนอื่นได้รู้เหมือนกัน มันกลายเป็นเส้นบางๆ ที่คั่นระหว่าง “มืออาชีพกับมือสมัครเล่น”

กลับมาที่ความสนุกของวงการ Startup ในประเทศสารขัน ที่มันเกี่ยวข้องกับเรื่องที่เล่ามาทั้งหมดคือ ผู้ประกอบการที่ทำ Startup อยู่จะรู้ว่าพวกเราขาดแคลนพนักงานมากจริงๆ โปรเจคที่ทำกันออกมาก็แบบว่าต้องการ programmer ต้องการ marketer ต้องการ designer ต้องการคนที่รู้ลึก รู้จริง ในด้านต่างๆ มาช่วยกัน แต่ภาพที่เกิดขึ้นที่น้องๆ รุ่นใหม่เห็นกันคือ ทำ Startup มันเท่ มันได้ทำตามความฝัน ดังนั้นฉันทำ “Startup ของฉันเอง” ดีกว่า ฉันจะเป็น Mark Zuckerberg II ฉันจะรวย ฉันจะ hipster แต่ที่ไหนได้เมื่อเวลาผ่านไป 2-3 ปี ฉันเหล่านั้นจะได้พบกับความจริงที่ว่า โลกมันไม่ได้เมตตา ปรานี กับคนที่มีความฝันเพียงอย่างเดียว แต่ไม่มีความสามารถพอ

ที่เล่ามาก็ไม่ได้จะบอกว่าน้องๆ ไม่มีความสามารถนะครับ น้องบางคนเก่งมาก มาก มาก เลยหละ แต่คงเคยได้ยินไหมครับว่า คนจะประสบความสำเร็จมันต้อง เก่ง+เฮง บางทีเที่ยวบินน้องไม่พอ ประสบการณ์น้องไม่มี เวทีต่างๆ ที่เกิดขึ้นในปัจจุบันก็สอนแค่ให้น้องๆ pitch เป็น นำเสนองานได้ ชนะได้ก็จะเท่มาก(อีกแล้ว) ทำให้หลุดจากโลกแห่งความเป็นจริง แต่โลกธุรกิจมันยังคงอยู่ในโลกใบนี้ มันไม่เป็นดังฝัน connection น้องมีไหม? เกิดปัญหานอกเหนือความคาดหมายจะจัดการอย่างไร? การที่คนสักคนหนึ่งจะรู้ตัวว่าเหมาะกับการเป็นอะไร ผมว่ามันต้องใช้เวลา ความสนุกของการใช้ชีวิตคือการผ่านพ้นช่วงเวลาทั้งทุกข์และสุขเหล่านั้นไปให้ได้ แล้วสักวันหนึ่งก็หันกลับไปยิ้มกับมัน

ถึงจุดนี้สิ่งที่ผมอยากให้เกิดในประเทศสารขัน คือ การที่เราจะมีมืออาชีพมากขึ้น มันไม่สำคัญหรอกว่า เราจะเป็นอะไร เป็นผู้ประกอบการ เป็นนักลงทุน เป็นพนักงานออฟฟิศ หรือเป็นแค่นักเรียน นักศึกษา มันสำคัญที่ว่า เรากำลังรู้ตัวเองว่ากำลังทำอะไรเพื่ออะไร และใช้เวลากับมันให้คุ้มค่าที่สุด ทุกวินาทีที่ผ่านไป ผมอยากให้พวกเราเป็นมืออาชีพกันครับ

ปัจจุบันการมีอาชีพ 2 อาชีพหรือมากกว่านั้นก็ไม่ใช่เรื่องแปลก มีอาชีพหลัก แล้วมีอาชีพเสริม ก็ไว้เพื่อเลี้ยงชีพ การมีแหล่งรายได้สำรองมีความจำเป็นเมื่อชีวิตไม่มีความแน่นอน บางคนอาจมองว่า ทำงานอดิเรก อาจจะเป็นการทำแบบไม่ต้องรับผิดชอบ ไม่ได้ใส่ใจมาก พอได้เงินตอบแทนบ้างเล็กๆ น้อยๆ ให้ชื่นใจ  ทำเอามันส์ เอาเท่ก็พอแล้ว นั่นคือความคิดแบบมือสมัครเล่นจริงๆ  สมมติถ้าคุณเป็นพนักงานออฟฟิศกินเงินเดือนอยู่ และเปิดร้านขายของอีคอมเมิร์ซ ขอให้ถามตัวเองว่างานประจำคุณรับผิดชอบได้ดีแค่ไหน แล้วร้านที่เปิดมาใหม่ คุณดูแลใส่ใจกับลูกค้าพอแล้วไหม หากคุณทำทั้งสองอย่างได้ดี ก็ทำต่อไป หากมันเสียขาใดขาหนึ่ง จงเลือกทางที่คุณชอบและจริงจังกับมันจริงๆ ซะ

มืออาชีพจะลงมือทำในเรื่องที่สำคัญและสามารถแยกแยะสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ได้ ในขณะที่มือสมัครเล่นจะลงมือทำในอะไรก็ไม่รู้ และไม่สามารถแยกแยะอะไรได้เลย ผมอาจจะอธิบายขวานผ่าซากนะครับ แต่ผมรับรองว่าคุณจะสัมผัสได้เวลาที่ทำงานกับใครแล้วรู้สึกว่า เขารู้ลึก รู้จริง รู้ในเรื่องที่พูด เขาใส่ใจในรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ที่คนทั่วไปไม่เห็น เขาทำให้เรารู้สึกประทับใจกับผลงานที่เขาเคยทำแม้ไม่ได้โฆษณา ประชาสัมพันธ์อะไรเลย เขาเหล่านี้มีอยู่จริงในทุกวงการ เขาคือคนที่ใช้เวลา 10 ปี หรือ 10,000 ชั่วโมง ในสิ่งที่เขาทำ

แล้วความสุดยอดของการใช้ชีวิต ก็คือ การได้ทำในสิ่งที่ตัวเองรัก ตัวเองอยากทำ แล้วสามารถทำมันออกมาดีได้มากๆ จนคนอื่นที่ได้สัมผัสรับรู้ถึงความตั้งใจเหล่านั้น ผลลัพธ์ของงานจะตอบแทนเราเองครับ ไม่ว่าด้วยความภาคภูมิใจ หรือเป็นตัวเงิน ขอให้ทุกท่านโชคดี ราตรีสวัสดิ์ประเทศสารขัน

 

Leave a Reply