Stripe

ถ้าพูดถึงการทำธุรกรรมออนไลน์คนส่วนใหญ่ก็จะนึกถึง e-commerce หรือการซื้อขายสินค้า ซึ่งเบื้องหลังความสำเร็จนั้นยังมีเรื่องการชำระเงิน หรือตัวกลางในการรับส่งเงินจากผู้ซื้อไปยังผู้ขายที่สำคัญมากไม่แพ้กัน เพราะการจัดการเงินมีความยุ่งยากพอสมควร ไหนจะเรื่อง security ไหนจะเรื่อง fraud ที่นับวันยิ่งซับซ้อนซ่อนเงื่อนขึ้นเรื่อยๆ การให้แต่ละบริษัทมานั่งพัฒนาเองคงไม่ใช่เรื่องง่าย จึงเป็นที่มาของธุรกิจตัวกลางอย่าง PayPal ในปี 1998 และ disruptor ที่เข้ามาท้าทายอย่าง Stripe ในปี 2010

สิ่งที่คนมักจะพูดถึง Stripe มากที่สุดเรื่องหนึ่งคือการที่มี founder อายุน้อย เป็นเศรษฐีพันล้านตั้งแต่ยังไม่ถึง 30
อันที่จริง มันก็ไม่ได้เกี่ยวกับอายุมากหรือน้อยหรอกครับ การจะปั้นธุรกิจขึ้นมายืนในจุดนี้ได้ สิ่งที่น่าสนใจที่สุดคือเขาแทรกตัวขึ้นมาท้าชนอำนาจเก่าได้อย่างไร

Patrick และ John Collison สองพี่น้องชาวไอร์แลนด์ผู้ก่อตั้ง Stripe ตามสูตรของคนมี passion ที่ลาออกจากมหาลัยมาสร้าง StartUp ที่ตัวเองเชื่อ Patrick จบ high school ตั้งแต่ 16 ก่อนเข้ามาเรียนต่อที่ MIT ในปี 2006 ส่วน John ตามมาอเมริกาเพื่อเข้าเรียนที่ Harvard ในอีกสองปีต่อมา ซึ่งทั้งคู่ใช้เวลาว่างในการพัฒนา application ขายใน App store จนกระทั่งได้มาทำระบบจัดการการประมูลใน eBay ชื่อ Auctaomatic Inc. แล้วก็ขายไปในราคา $5 ล้านเมื่อปี 2008 ซึ่งน่าจะเป็นต้นเหตุให้พวกเขาเห็นถึงปัญหาความยุ่งยากซับซ้อนในการทำธุรกรรมการเงินออนไลน์ พวกเขาจึงเริ่มธุรกิจใหม่เพื่อช่วยให้ใครก็ได้ที่อยากตัดเงินผ่านบัตรเครดิต ก็เพียงแค่ copy code สั้นๆ ของพวกเขาไปใส่ แล้ว Stripe จะทำหน้าที่เชื่อมต่อระหว่างเว็บไซต์หรือ application ที่ต้องการกับสถาบันการเงิน มันเปรียบเสมือนกล่องดำที่ผู้ใช้ไม่ต้องรู้หรอกว่ามีอะไรอยู่ข้างใน แต่มันทำงานให้เบ็ดเสร็จเรียบร้อย

PayPal เจ้าตลาดเดิม มีผู้ใช้งานหลายร้อยล้านบัญชี และดำเนินการในหลายร้อยประเทศ ส่วน Stripe ผู้ท้าชิงเกิดขึ้นมาโดยเน้นไปที่กลุ่มนักพัฒนาซอฟต์แวร์ และพวก StartUp ซึ่งพวกเขาสามารถทำได้ดี กลายเป็นที่รักของบริษัทเล็กๆ ด้วยประสบการณ์การใช้งานที่ user friendly กับเหล่า developer พวกเขาช่วยทำให้ conversion rate ในการซื้อเพิ่มขึ้น เนื่องจากสมัยนั้น PayPal เวลาจ่ายเงินต้องส่งคนออกไปจากไซต์ในขณะที่ Stripe ยอมให้ transaction จบในเว็บที่เอาปุ่มไปติดเลย มันง่ายมาก สามารถปิดดีลได้เร็ว นอกจากนั้นค่าบริการเริ่มต้นชาร์จ 2.9% + 30 cent ต่อ transaction ซึ่งถ้ามีลูกค้ามากก็สามารถขอต่อรองกับทาง Stripe ได้อีก ไม่มีค่า set up ไม่มีค่ารายเดือน ไม่มีค่าบริการอื่นๆ ซ่อนเร้น

อย่างไรก็ตาม เราเห็นได้ว่าแม้ Stripe และ PayPal จะเสนอ solution ให้กับปัญหาเดียวกันคือเรื่อง online payment แต่พวกเขาทั้งคู่จัดการมันต่างกัน PayPal เป็น solution ระดับต้นสำหรับ end-user หรือนักธุรกิจสามารถใช้งานได้ทันทีโดยไม่ต้องมีความรู้ด้านเทคนิคมาก และยังมีเครื่องมือช่วยเหลืออีกมากมายไปจนกระทั่งถึง POS ในขณะที่ Stripe เป็น solution สำหรับนักพัฒนาซอฟต์แวร์ที่ทำให้คนเทคนิคทำงานง่ายขึ้น ใช้แล้วรู้สึกเท่ (อะไรประมาณนั้น)

Stripe ได้ใจธุรกิจเล็กๆ และสร้าง buzz ด้วยการมี StartUp ที่เจ๋งๆ หันมาใช้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตั้งแต่ Twitter, Salesforce, Lyft และอื่นๆ อีกมากมาย ยิ่งมี reference site มากก็ยิ่งกลายเป็นที่สนใจเพิ่มขึ้น และเมื่อเวลาผ่านไป PayPal ก็มี market share เล็กลงเหลือประมาณ 60+% ในขณะที่ Stripe ก็ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ อยู่ราวๆ 20+% ซะแล้วเพราะ Stripe โตเร็วมากจากการระดมทุนในแบบ StartUp

เริ่มต้นในปี 2010 Stripe ได้เข้า Y Combinator ได้ seed funding มานิดหน่อย แล้วปีต่อมาก็ได้เงินลงทุนมาอีก 2 ล้านเหรียญจาก Peter Thiel, Sequoia Capital และ Andressen Horowitz พอปี 2012 Sequoia Capital จัดชุดใหญ่ให้เงินทุน Series A ไปอีก $18 ล้านที่ valuation ถึง $100 ล้าน และพอ 2014 ก็ระดมทุน Series C อีก $80 ล้านกลายเป็นยูนิคอร์นที่มีมุลค่า $1.75 พันล้าน และก็ระดมทุนมาเรื่อยๆ จน Series F เมื่อเดือนกันยาน 2019 อีก $250 ล้าน กลายเป็นบริษัทมูลค่า $35 พันล้าน และพวกเขายังโตต่อไปเรื่อยๆ เพื่อแข่งกับเบอร์หนึ่งอย่าง PayPal

src: https://www.businessinsider.com/payments-ecosystem-report

Leave a Reply