วันนี้เป็นวันน่าสนใจอีกวันหนึ่งที่ผมได้รู้จักกับศาสตร์ที่เรียกว่า NLP มันไม่ใช่ Natural Language Processing ที่ผมได้ศึกษามาตอนปริญญาเอก แต่มันย่อมาจาก Neuro-Linguistic Programming ซึ่งเป็นเทคนิคทางจิตวิทยาเกี่ยวกับการจัดการพฤติกรรมต่างๆ ที่เกิดขึ้นโดยสมองและจิตใจ พูดง่ายๆ ก็คือ “การคิดอะไร ได้อย่างนั้น”
คนที่ศึกษา NLP จะเชื่อว่ามนุษย์เรารับรู้สิ่งต่างๆ ผ่านประสาทสัมผัส แล้วส่งต่อไปสมองผ่านกระบวนการคิดโดยจิตสำนึกหรือจิตใต้สำนึกก็แล้วแต่ สุดท้ายก็จะแสดงออกมาเป็นพฤติกรรมที่ปรากฏให้เห็น ซึ่งกระบวนการตรงนี้สามารถถูกปลูกฝังหรือโปรแกรมได้ ข้อดีคือ เราสามารถกำหนดและควบคุมตัวเราเองได้ เช่น การเลิกสูบบุหรี่ การลดความอ้วน การนอนตื่นเช้า เป็นต้น
แต่ที่อัศจรรย์กว่านั้นคือ การกำหนดและควบคุมสิ่งแวดล้อมภายนอกได้ด้วย เช่น การขับรถมาจะมีที่จอด การขึ้นรถไฟฟ้าจะมีที่นั่ง การซื้อหวยจะถูกรางวัล ฟังแล้วเหลือเชื่อใช่ไหมครับ? คนที่หัววิทยาศาสตร์หน่อยก็จะตั้งคำถามในใจว่าแล้วมันพิสูจน์ได้ไหมครับ
เท่าที่ผมฟังแล้วจับใจความได้ หลักการของเค้ามีอยู่ว่า ถ้าเราเชื่ออย่างบริสุทธิ์ใจไม่เคลือบแคลงสงสัยแล้วจะนำพามาซึ่งสิ่งที่เราเชื่อนั้น ดังนั้นหากเราไม่เชื่อพยายามจะพิสูจน์มันก็จะพิสูจน์ไม่ได้ ตรงกันข้ามถ้าเราเชื่อว่าพิสูจน์ได้มันก็จะพิสูจน์ได้
ก็เลยกลายเป็นเรื่องที่ขึ้นอยู่กับความเชื่อ
แต่อย่างไรก็แล้วแต่มันก็ไม่ใช่เชื่ออย่างงมงาย ไม่ใช่นั่งงอมืองอเท้าคิดว่าวันนึงจะรวย แล้วจะรวยจริง
ความเชื่อตรงจุดนี้ เหมือนการที่เรามีภาพนั้นเล่นอยู่ในหัวเราตลอด เรามีรายละเอียดของเรื่องราวนั้น หรืออาจเรียกได้ว่า หมกหมุ่นถึงขึ้นมี passion ก็ได้
ผมยกตัวอย่าง การไปนำเสนองาน present ลูกค้า
กรณีที่ 1 ถ้าเราเริ่มจาก เราเชื่อว่าผลงานเราดี ลูกค้าต้องซื้อแน่ๆ
ก่อนไปคุยในหัวเราก็จะนึกว่าจะคุยกับลูกค้าอย่างไร และก็มีภาพในใจว่าสุดท้ายลูกค้าชอบใจสินค้าเรา เค้าแสดงหน้าตาดีใจ ปรบมือแล้วก็เข้ามาจับไม้จับมือ
เวลาเราไปคุยตัวเราก็จะส่งออกความรู้สึกเหล่านั้นออกมา พยายามทำให้ลูกค้ารู้สึกยินดี พูดให้เค้าชอบ เค้าไม่จับมือเราก่อน เราก็ไปจับมือเค้า ทำให้เค้ารู้สึกมีส่วนร่วมไปด้วย
ซึ่งสุดท้ายผลลัพธ์มันก็คือความสำเร็จนั้นเกิดขึ้นในหัวเราก่อนแล้ว และเราแสดงมันออกมาให้เป็นจริงอีกครั้งหนึ่ง โดยมีรายละเอียดอย่างที่เราเคยคิดเอาไว้
กรณีที่ 2 เราไม่แน่ใจ สงสัยในผลงานเราบางอย่าง และก็มีจุดในใจเล็กๆ บางจุดที่บอกตัวเองว่าลูกค้าอาจจะเห็นและก็ไม่ชอบก็ได้
ก่อนไปนำเสนอก็จะมีความกังวลจะพูดหรือไม่พูดเรื่องนั้นดี ในใจก็จะมีภาพว่าพูดแบบนี้ไปแล้วลูกค้าไม่ชอบ แล้วเค้าก็จะไม่ซื้อเรา
พอไปนำเสนอจริงๆ สิ่งที่ติดอยู่ในใจนั้นก็จะถูกนำเสนอออกมา แล้วลูกค้าก็ไม่ซื้อ เพราะไม่เข้าใจในสิ่งที่เราพูดไป
จะว่าไปมันก็เหมือนภาพที่เราคิดอยู่ว่าเราอาจจะไม่สำเร็จ แล้วมันก็ไม่สำเร็จจริงๆ อย่างที่เราแอบคิด
กรณีที่ 3 เราไม่แน่ใจว่าลูกค้าจะชอบเราไหม
ในหัวเราจะมีทั้งสองภาพทั้งลูกค้าซื้อ และลูกค้าไม่ซื้อ
การแสดงออกเราก็จะไม่เต็มร้อย ห้าสิบห้าสิบ เราจะรอดูท่าที
ถ้าเราได้สัญญาณอะไรบางอย่างจากสิ่งแวดล้อม เช่น ลูกค้ากระดิกขา เราก็จะแปลไปว่าลูกค้าไม่ชอบ
หรือแม้แต่ไฟกระพริบ นกบินผ่าน จิ้งจกร้อง เราก็จะแปลออกมาบางอย่าง
แล้วพอผลลัพธ์ออกมา เราก็จะมาคิดว่า เห็นไหมหละก็คิดเอาไว้อยู่แล้วว่ามันต้องเป็นแบบนี้แน่เลย
หรืออย่างการที่เราไม่สบายและคิดว่าไม่สบาย ปวดหัว เป็นไข้ เจ็บคอ อาการมันก็จะออกมาอย่างนั้น
ถ้าจะเอาให้หายก็ต้องคิดว่าหายแล้วโดยไม่เคลือบแคลงสงสัยเลย หรือวิธีการแก้ง่ายๆ เบื้องต้น ก็คือ อย่าไปคิด ซึ่งถ้าทำได้ ก็สบายไปครับ
สังเกตนะครับ! ว่าใครเป็นคนกำหนดให้เรื่องราวทั้งหมดมันเกิดขึ้น ตัวเราเองหรือเปล่า หรือฟ้า หรือพระเจ้ากำหนด
ใน workshop วันนี้ก็มีคำถามน่าสนใจ เกี่ยวกับศาสนา และความเชื่อ
เราเชื่อไหมหละว่าสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นเป็นสิ่งที่ถูกกำหนดไว้แล้ว พระเจ้าเป็นผู้สรรสร้างสิ่งนั้นให้ หากอยากได้เราต้องเชื่อในพระเจ้า ต้องร้องขอ แล้วจะได้มา
เอ… งั้นพระเจ้ามีจริงหรือ ก็จะกลับมาที่คำถามว่าเชื่อไหมหละว่าพระเจ้ามีจริง ถ้าเชื่อก็จะมี ถ้าไม่เชื่อก็ไม่มี แล้วจะพิสูจน์ยังไงหละ ก็ถ้าอยากพิสูจน์ก็แปลว่าไม่เชื่อ ก็จะไม่มี
เหมือนคนเห็นผี ก็จะเห็นผีอยู่วันยังค่ำ เพราะเค้าเชื่อว่าผีมีจริง ส่วนคนที่อยากพิสูจน์ นั้นคือคนที่มีความสงสัยว่า ไม่มีจริง ก็จะพยายามค้นหาแล้วสุดท้ายก็จะหาไม่เจอ เพราะเค้าเคลือบแคลงสงสัยว่ามันอาจจะไม่มีจริง (หรืออาจจะมีก็ได้)
การที่เราพบกับใครสักคน ก็ไม่ใช่เหตุบังเอิญ แต่เป็นแรงดึงดูดที่เราและเค้าคิดเหมือนกันว่าต้องไปเจอใครบางคนที่เข้ามาในชีวิต
จังหวะชีวิตที่เกิดขึ้น ทุกเรื่องราวมีการกำหนดแล้ว โดยสมองของเรา บันดาลให้เราเจอสิ่งที่เราอยากจะเจอ พบเห็นในสิ่งที่เราอยากจะเห็น
ความซับซ้อนของเรื่องราวนี้ ผมว่ายากมากที่จะอธิบายออกมาให้เข้าใจกันได้จากตัวหนังสือ มันคือเรื่องราวของความเชื่อที่ไม่ต้องการการพิสูจน์
แต่ขอโทษครับ เรื่องราวตรงนี้ ก็เหมือน The matrix ที่มอร์เฟียส เอายา 2 เม็ดมาให้เลือก
คุณจะเลือก สีแดง หรือ สีน้ำเงิน
เมื่อเลือกแล้ว ว่าจะเชื่อ จะย้อนกลับไม่ได้
ถ้าคุณคือ The One ขอต้อนรับสู่ Zion
Leave a Reply