ใครว่างๆ อยู่ ไม่รู้ทำอะไรดี ลองออกไปเที่ยวสักปีสองปีไหมครับ เผื่อได้เป็นเศรษฐีเงินล้านบ้าง
Nicholas Woodman ผู้ผิดหวังหลังทำธุรกิจตัวเองเจ๊ง สูญเงินไปหลายล้านเหรียญ หมดอาลัยตายอยากกับชีวิต จึงได้ออกเดินทางพักใจ ไปจนกระทั่งถึงชายหาด ที่เขาอยากจะถ่ายรูปตัวเองขณะเล่นกระดานโต้คลื่น แล้วพบว่ากล้องที่มีอยู่ในตอนนั้นมันไม่เหมาะกับการเก็บภาพแนว adventure เอาซะเลย และนี่ก็เป็นจุดกำเนิดของ Action camera ที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลก GoPro
Nick ใช้เวลากว่า 2 ปี ในการตระเวนตามงานแสดงสินค้ากล้องทั่วโลก เพื่อหาทางพัฒนาต้นแบบ จนกระทั่งได้ไปเจอบริษัทที่จีน และร่วมกันพัฒนาจนสำเร็จ ด้วยต้นทุน $3.5 แล้วเอามาขายได้ $30 ซึ่งอย่างที่เราทราบกันมันขายดีเป็นเทน้ำเทท่า จนกระทั่งไปเตะตา Foxconn ผู้ผลิต chip รายใหญ่ของจีน และขอซื้อหุ้นส่วนนึงใน GoPro และนี่คือจุดเปลี่ยนที่ทำให้การผลิตของบริษัทเข็มแข็งมาก
จากปี 2002 GoPro พัฒนาต่อยอดมาเรื่อยๆ โดยยึดจุดยืนว่าจะเป็นกล้องที่เก็บช่วงเวลาน่าประทับใจต่างๆ ไว้ให้ โดยไม่ได้อยากมาแข่งกับกล้อง compact หรือกล้องมือถือเลย เค้าพยายามทำให้มันใช้งานง่าย ถ่ายได้เร็ว มีอุปกรณ์เสริมต่างๆ ที่ทำให้สะดวกสบาย ถ่ายภาพได้ทุกมุม ทุกช็อต จากทุกกิจกรรม extreme ต่างๆ จะดำน้ำ สกี โดดร่ม ได้หมดถ้าสดชื่น
ส่วนการทำการตลาดของ GoPro ก็คือการทำ product ให้ดีให้คนชอบ ให้บอกต่อ และที่สุดยอดล้ำยุคล้ำสมัยคือ เค้าใช้ influencer ในช่วงที่ social media กำลังบูมพอดี ก็เลยมีการถ่ายรูป ถ่ายวิดีโอ แชร์ภาพที่มีเอกลักษณ์ออกไป ทำให้คนสนใจว่าถ่ายยังไง นอกจากนี้ตัวลูกค้าเองก็ยังเอากล้อง GoPro มาเล่นอะไรสนุกๆ อีกด้วย เช่น มีเด็กคนหนึ่งเอากล้องไปติดจรวดประดิษฐ์ยิงขึ้นชั้นบรรยากาศ กลายเป็น viral vdo ไป
GoPro ค่อยๆ สร้างฐานลูกค้าของตัวเอง เติบโตขึ้นมาในเฉพาะกลุ่ม จนกระทั่งสามารถ IPO เข้าตลาด NASDAQ ในเดือนมิถุนายน 2014 และทำยอดขายได้สูงสุดในปี 2015
และก็เข้าสู่ขาลงของธุรกิจ เนื่องมาจากการตัดสินใจพลาด 2 เรื่อง ได้แก่
1) การพยายามขยายตลาดซอฟต์แวร์ทำโปรแกรมตัดต่อวิดีโอ ซึ่งเป็นการลงทุนที่ไม่สามารถสร้างรายได้คืนให้กับบริษัท
2) การพยายามเข้าสู่ตลาดโดรน โดยออกผลิตภัณฑ์ชื่อ GoPro Karma แต่พลาดท่าให้กับ DJI เจ้าตลาดจากจีน (ตั้งแต่ยังไม่ทันได้เปิดตัว)
ตั้งแต่ปี 2016 ยอดขายของบริษัทตกต่ำลงอย่างน่าใจหาย จากที่มีกำไรอยู่ดีๆ กลายเป็นขาดทุน และต้องปลดพนักงานออก แม้แต่ตัว Nick เองในฐานะ CEO ก็แสดงความรับผิดชอบโดยลดเงินเดือนตัวเองเหลือ $1 แต่สถานกาณ์ก็ไม่ดีขึ้น 2017 ยังคงขาดทุนจนบริษัทเกือบล้มละลาย และมีข่าวต้องขายบริษัทใหกับ Xiaomi เลยเสียด้วยซ้ำ
แต่ด้วยเจ้า GoPro Hero 7 ที่ประกาศออกมาในเดือนกันยายน 2018 กลับมาช่วยพลิกสถานการณ์ ทำให้บริษัทสามารถปิด quarter 4 กลับมาทำกำไรได้อีกครั้ง อย่างไรก็ตามอนาคตของ GoPro ยังไม่ชัดเจน การแข่งขันในตลาดยังสูง สินค้าสเปกเท่ากันราคาถูกเกือบครึ่งจากจีนเป็นคู่แข่งที่น่ากลัวมาก ประกอบกับความสามารถของมือถือรุ่นใหม่ๆ ที่ถ่ายรูปได้ กันน้ำก็ได้ ก็มีให้เลือกเป็นสินค้าทดแทน ก็คงต้องติดตามกันต่อไปว่าการเดินทางครั้งนี้ของ GoPro จะเป็นเช่นไร
Leave a Reply