อย่างนี้ต้องลาออก… ?

ยุคนี้ สมัยนี้ เทรนด์การเป็นนายตัวเองมีให้เห็นชัดเจน
เรามีหนังสือสร้างแรงบันดาลใจหลายเล่ม ที่หลายคนอ่านไม่จบ แต่จำแค่ชื่อหนังสือได้
คำมันคุ้นๆ ชื่อมันเท่ห์ๆ “มันคงถึงเวลาของเราแล้วหละสิ” {มีเสียงพากย์ทุ่มๆ เป็นแบล็คกราวน์ประกอบ}

หลายคนคงคิดว่าหากเราทำตามชื่อหนังสือเหล่านั้น ชีวิตจะสบายขึ้น ไม่ต้องมีใครมาสั่งให้ทำอะไร อยากทำอะไรก็ได้ทำ
ว่าแล้วก็คิดในใจว่า “ลาออกซะ ถ้าอยากรวย” เพราะ “งานไม่ประจำ ทำเงินกว่า” ดังนั้นจึงต้อง “การลาออกครั้งสุดท้าย”
ในเวลาต่อมา… พอลาออกมาแล้วทำอะไรดีหละ?
ก็นอนเล่น นั่งเล่น หาคำตอบจากในอินเทอร์เน็ต ไปเจอคนบอกไว้ว่าให้ทำสิ่งที่ตัวเองชอบ!
พวกที่ไม่พร้อม ก็จะมีคำตอบตามมาในใจว่า แล้วฉันชอบอะไร?

ส่วนคนที่ผ่าน step นั้นไป ก็ขอต้อนรับสู่โลกแห่งความเป็นจริงที่ว่า “บางทีชีวิตก็ออกแบบไม่ได้”
มันไม่ได้ง่ายอย่างนั้นนะครับ งานที่เราชอบ อาจไม่ใช่งานที่เราถนัด หรือเป็นงานที่เรามีทักษะ
บางคนชอบวาดรูป อยากเป็นศิลปินมีผลงานของตัวเอง ก็รู้นะว่างานยังไม่เข้าขั้น แต่ทำงานประจำมันไม่มีเวลาฝึก
ส่วนงานที่เราถนัดทำมาทั้งชีวิตตั้งแต่เรียนจบ ก็อาจจะไม่ได้ทำเงินพอเลี้ยงชีพได้ (ถ้าต้องมาทำเอง)
บางครั้งชีวิต มันก็ขัดกันเองระหว่างความชอบ ความสามารถ และความต้องการของตลาด
เอาเข้าจริง เราจะมีคำถามว่า ใครจะมาจ่ายตังค์ให้เราทำงานที่เรารัก และถึงหาคนจ่ายได้เราจะร่ำรวยจากสิ่งนั้นได้อย่างไร
ตอนเป็นลูกจ้างเราก็ไม่เคยได้รับรู้ความยากลำบากของนายจ้างเลย รู้แค่ว่าทำงานจนถึงสิ้นเดือนแล้วได้เงินเดือน

ในขณะเดียวกันก็คิดว่าองค์กรหรือบริษัทคือสถานที่ดูดวิญญาณ เป็นที่ตักตวงผลประโยชน์จากการอุทิศตนของเรา
เราคือคนที่ทำงานหนักแทบตาย แต่ได้ผลตอบแทนไม่คุ้มค่าเหนื่อย เจ้านายมันห่วย บริษัทมันแย่ ชิ!
เวลาจิตตก มันมีเหตุผลมากมายที่ทำให้รู้สึกว่างานประจำไม่ทำเงิน
แล้วก็มักจะทำคณิตคิดในใจว่า หากยังต้องทำงานที่เดิมอีกกี่ปี ชีวิตนี้ถึงจะมีอิสระ แล้วก็ให้คำตอบกับตัวเองว่า “ไม่มีหรอก”

ยกตัวอย่างนะครับ ผมมีเพื่อนที่ชอบเปลี่ยนงานเป็นว่าเล่น เจอทุกครั้งต้องเช็คทุกทีว่ายังทำอยู่ที่เดิมไหม
เค้ามีความคิดว่าการเปลี่ยนงานคือการอัพเกรดเงินเดือนตัวเอง เพราะสามารถเรียกจากที่ใหม่เพิ่มขึ้นได้มากขึ้นเรื่อยๆ
ในขณะที่ผมก็มีคนรู้จักอีกคนที่ทำงานที่เดิมเป็นสิบๆ ปี มีความเจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงานดี
จากพนักงานตัวเล็กๆ รับผิดชอบงานตัวเองไปเรื่อยๆ ได้เลื่อนขั้นบ้าง หัวหน้าลาออกบ้าง จนกลายเป็นเบอร์ 1 ขององค์กรไป

ถ้าเอาเงินเป็นตัวตั้ง ถามว่าใครได้เงินมากกว่า ขอบอกว่าคนที่สองที่ผมพูดถึงครับ
ถ้าถามว่าตอนนี้ใครทำงานสบายกว่า มีเวลามากกว่า ก็คนที่สองอีกนั้นแหละครับ
มันไม่ได้เกี่ยวเลยว่าคุณจะลาออกหรือจะย้ายงานบ่อยแค่ไหนเพื่อให้ได้ผลตอบแทนดีขึ้น ได้เงินมากขึ้น
แต่อันที่จริงแล้ว มันอยู่ที่ว่าเรามีทัศนคติอย่างไรในสิ่งที่กำลังทำอยู่มากกว่า เราสามารถเชื่อมจุดต่างๆ ที่เรามีไหม!

resignment_book

สุภาษิตแอฟริกันประโยคหนึ่งกล่าวไว้ว่า “ไปคนเดียวไปได้ไว แต่ไปด้วยกันไปได้ไกล”
“If you want to go fast, go alone, If you want to go far, go together”
การสร้างเครื่องจักรขึ้นมาสักชิ้น ต้องการ น็อต ฟันเฟือง และเครื่องยนต์ ประกอบเข้าด้วยกัน
ทีมต้องการคนทุกคนเพื่อให้งานสำเร็จ การขาดใครไปสักคนคือการต้องยอมรับว่า งานจะต้องสะดุด หรือบางทีอาจต้องเริ่มใหม่

ปัจจุบันการเป็น tech startup ภายนอกนั้นอาจมีภาพลักษณ์ที่ดูเท่ ดูดี มีสไตล์ ได้ใช้ชีวิตในแบบที่เป็นตัวของตัวเอง
แต่อันที่จริงแล้ว มันมีปัญหาหลายๆ อย่าง และมีสิ่งที่ไม่อยากทำหลายๆ สิ่ง ที่เราจะต้องผ่านพ้นมันไปให้ได้
คนที่เป็น lead นอกจากจะต้องหาเงินให้พอเลี้ยงตัวเองแล้ว ยังต้องหาเลี้ยงทีมด้วย
ต้องดูแลทุกคนว่ายังอยู่ดีมีสุขไหม ทำงานได้ตามเป้าหมายที่กำหนดไว้หรือเปล่า มีปัญหาอะไรต้องแก้ไขบ้าง
งาน Code งาน Design งาน Marketing กว่าจะพ้น early stage เป็นที่รู้จัก กว่าจะทำเงินได้ มันใช้เวลาครับ
นี่ยังไม่พูดถึงพวกที่ขอเงินจาก Angel หรือ VC นะ เพราะการไป pitch แต่ละที ชะตาชีวิตของเราอยู่ในมือคนอื่นมากกว่าตัวเราเองซะอีก
ใครจะไปรู้ว่าวันที่ไป pitch คนฟังอยู่ในอารมณ์ไหน เมื่อเช้าจิ้งจกร้องทักไหม
ยังไม่นับลูกค้าและคู่ค้าอีกนะครับ ถ้าเจอคนดีก็ดีไป โชคร้ายเจอคนบางคน หัวเสียทั้งวันก็ยังไม่ได้อะไร
แล้วถ้าหาก เราจดบริษัทก็จะมีหน้าที่ยื่นภาษีทุกเดือน ภงด 1 3 53 ภพ 30 ทำหัก ณ ที่จ่าย และอื่นๆ อีกมากมาย

ชีวิตมันไม่ได้ง่าย แต่ก็ไม่ได้ยากหากเราเข้าใจ
ภาพฝันจะไม่ปรากฏขึ้นจริง หากเรายังพยายามไม่มากพอ
อาชีพอะไรก็ดีทั้งนั้นแหละครับ ถ้าเราตั้งใจจริง เรารู้ว่าต้องทำยังไง (เกมใครเกมมัน)
การจะเป็นพนักงานบริษัท หรือเป็นเจ้าของบริษัท เราก็มีสิทธิ์ประสบความสำเร็จและล้มเหลวไม่ต่างกัน
สุดท้ายอยู่ที่ว่า เราเข้าใจในชีวิตของเราไหม เราอยากเป็นส่วนหนึ่งของทีมที่อยากเข้าใจเราหรือเปล่า
ทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกใบนี้ล้วนมีบริบทของมัน ขึ้นอยู่กับจังหวะ สถานการณ์ ไม่มีสูตรสำเร็จ ที่ฟิตกับทุกคน
ใครบอกให้เราทำอะไร อย่าไปเชื่อ อย่างผมบอกให้คุณอย่าเชื่อผม คุณก็อย่าเชื่อสิ่งที่ผมบอก
ชีวิตของเรา คนที่ดูแลได้ดีที่สุดคือตัวเราเอง การมีชีวิตอยู่ได้ตัดสินใจด้วยตัวของตัวเองคือความสุข และความสนุกในการมีใช้ชีวิตอยู่

Leave a Reply