VC the money game

วันนี้โชคดีมากได้ความรู้เรื่องใหม่จากพี่แจ๊ค ClaimDi อีกแล้ว เลยต้องขอบันทึกไว้หน่อยครับ
เรื่องราวนี้เป็นการทำธุรกิจในอีกรูปแบบที่ SME ไม่มีทางเข้าใจ
แต่ก่อนแต่ไรมาเรารู้แค่ว่าเราจะทำ Product ดีๆ แล้วขายให้ได้กำไรเยอะๆ นั้นคือธุรกิจ 1x
ซึ่งยุคสมัยที่เปลี่ยนไปทำให้เกิดธุรกิจ Venture Capital ที่เอาเงินมาลงใน Startup เพื่อให้ไปสร้าง Product ที่ผู้คนรักแล้วขายธุรกิจออกไป
ฟังดูก็เหมือนไม่มีอะไรมาก แต่ถ้าเอา excel มาใช้ในการคำนวณต่อไปนี้ รับรองมีหลายคนต้องนั่งอ้าปากค้างแน่นอนครับ

ผมขอแบ่งธุรกิจออกเป็นช่วงๆ ตามการลงเงินของนักลงทุนนะครับ

1. Acceleration program
เป็นช่วงที่มีแค่ไอเดีย แล้วไป pitch กันเพื่อเข้าโครงการไปอบรมในการพัฒนา Prototype
สมมติมีคนเอาเงินมาให้ $10,000 (THB 300,000) เพื่อแลกกับหุ้น 10%
นั้นหมายความว่ามีคนกำลังคิดว่ามูลค่าธุรกิจของเราคือ $100,000 (THB 3,000,000)
และผลลัพธ์ที่ออกมาคือ Prototype เพื่อทดลองตลาดแค่นั้นเอง

2. Seed funding
คราวนี้เราก็ต้องเอา Prototype ที่ได้ไปนำเสนอหานายทุนต่อ
ซึ่งถ้ามีคนเอาเงินมาลงให้อีก $100,000 (THB 3,000,000) เพื่อแลกกับหุ้น 20%
นั้นหมายความว่ามีคนกำลังคิดว่ามูลค่าธุรกิจของเราคือ $500,000 (THB 15,000,000)
และสิ่งที่นักลงทุนคาดหวังก็คือ การเอา Product ไปขายจริงมีคนใช้จริงจำนวนหนึ่ง ซึ่งการประเมินมูลค่าธุรกิจต่อจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับยอดขายและจำนวนคนใช้

3. Series A
นี่สิครับของจริง เมื่อ Product ของเรา prove มาระดับหนึ่งแล้วว่ามันใช้งานได้ มีตลาดรองรับ มีคนใช้
นี่คือช่วงที่น่าจะเรียกว่าพ้นการเป็น Startup กลายเป็น Real business ไปซะแล้ว
ซึ่งคราวนี้ถ้ามีคนเอาเงินมาลงให้อีก $1,000,000 (THB 30,000,000) เพื่อแลกกับหุ้น 20%
นั้นหมายความว่ามีคนกำลังคิดว่ามูลค่าธุรกิจของเราคือ $5,000,000 (THB 150,000,000)

4. Series B
อันนี้ตลาดในประเทศคงไม่พออีกต่อไปแล้ว มันมักจะกลายเป็นการโตออกไปในระดับภูมิภาค
ถึงตอนนี้ถ้ามีคนเอาเงินมาลงให้อีก $10,00,000 (THB 300,000,000) เพื่อแลกกับหุ้น 10%
นั้นหมายความว่ามีคนกำลังคิดว่ามูลค่าธุรกิจของเราคือ $100,000,000 (THB 3,000,000,000)

5. Series C
ถึงระดับนี้มันต้องระดับโลกเท่านั้น
ถ้ามีคนเอาเงินมาลงให้อีก $100,000,000 (THB 3,000,000,000) เพื่อแลกกับหุ้น 10%
นั้นหมายความว่ามีคนกำลังคิดว่ามูลค่าธุรกิจของเราคือ $1,000,000,000 (THB 30,000,000,000)

venture_capital

เห็นอะไรไหมครับจากไอเดียของเราถ้ามันเจ๋งจริงจนสุดท้าย exit หรือขายธุรกิจไปได้
หุ้น 100% จะลดลงมาเป็น 90% ตอนเข้า Acceleration program
และเหลือ 72% ตอนได้ Seed funding มา
เหลือ 58% ตอนไปขอ Series A
เหลือ 52% ตอนไปขอ Series B
เหลือ 47% ตอนไปขอ Series C
ซึ่งมันคือ 47% ของมูลค่าธุรกิจ 30,000,000,000 บาท คือ 13,996,800,000 บาทนั่นเอง

และทั้งหมดนี้นะครับ มันสั้นมากครับสำหรับ Startup
อย่าง Acceleration program ก็แค่ 3-6 เดือน Seed funding อีก 1 ปี แล้วถัดมาในแต่ละ Series ก็อีกปีสองปี
แปลว่าทั้งหมดที่เกิดขึ้นคือประมาณ 5 ปี+ ครับ จาก 0 บาทจะกลายเป็น หมื่นล้านบาททันที ถ้าทำเป็นนะ!

แล้วเค้าทำกันยังไงหรือครับ
เค้าใช้เงินซื้อผู้ใช้เพื่อให้ได้จำนวนผู้ใช้เยอะๆ ได้ valuation ธุรกิจมากๆ
ดังนั้นเงินจากขั้นหนึ่งมันคือ เงินหน้าตักทั้งหมดที่จะต้องใช้เพื่อ ส่งตัวเองไปยังขั้นถัดไป
แปลว่าในแต่ละช่วงเราไม่ได้สนใจกำไรเลยครับ

มองง่ายๆ นะครับ เช่นช่วง Seed funding ได้เงินมา 3,000,000 บาท แต่นักลงทุนคาดหวังว่าธุรกิจเราคือ 15,000,000 บาท
นั้นก็แปลว่า แต่ละเดือนถ้าขายได้เงินมา 1,250,000 (15 ล้าน หาร 12 เดือน) เราจะมีเงินอีก 250,000 (3 ล้าน หาร 12 เดือน) ใช้ในการทำการตลาด
ดังนั้นในแต่ละเดือนที่ผ่านไปเราต้องเร่งยอดขายให้ได้ในระดับที่นักลงทุนคาดหวังโดยไม่ได้สนใจค่าใช้จ่าย มีล้านสองใช้ล้านห้า เพื่อให้ได้ยอดขายปลายปีเตะ 15 ล้านจริงๆ มีผู้ใช้เยอะขึ้นจริงๆ
bottom line ไม่ใช่กำไรในการทำธุรกิจเหมือน SME ทั่วไปอีกต่อไป นี่คือธุรกิจ 10x ไม่ใช่ 1x
และประเด็นคือคนส่วนใหญ่ทำไม่เป็น น้องๆ จบใหม่ที่มีแต่ไอเดีย มองเกมนี้ไม่ออกแน่ๆ
แล้วก็จะมีคนเข้าใจผิดมองแต่ผลลัพธ์ว่า “โอโฮ มันยอดมาก” ไปทำ Startup กันเถอะ
สุดท้ายธุรกิจก็ไม่รอดเพราะทำไม่ได้อย่างที่นักลงทุนในแต่ละช่วงต้องการ
เกมนี้คือเกมสำหรับ Technopreneur โดยแท้ และทุกคนไม่ได้เกิดมาเป็น Technopreneur ครับ
ในเมืองไทยตอนนี้ มี Ookbee ที่ไปถึง Series B เริ่มขยายออกสู่ระดับภูมิภาค ในขณะที่เรามี Series A อยู่ไม่ถึง 10 รายและน้องใหม่อีกเพียบที่ยังไม่รู้ชะตากรรม
ดังนั้นจงจำไว้ว่า การลงทุนมีความเสี่ยง โปรดอ่านฉลากคำเตือนก่อนตัดสินใจทุกครั้ง

Leave a Reply