SoftBank

หาก Elon Musk คือเจ้าพ่อแห่งนวัตกรรมในฝั่งอเมริกา Masayoshi Son ชายวัย 60 กว่าผู้ก่อตั้ง SoftBank ก็คงจะเป็นเจ้าพ่อนวัตกรรมในฝั่งเอเชีย

ย้อนกลับไปปี 1980 หลังจากเรียนจบจาก UC Berkeley สหรัฐอเมริกา Son (ชื่อเดิมตอนนั้นคือ Yasumoto) หนุ่มวัย 23 ได้กลับญี่ปุ่นมาอยู่เฉยๆ นานถึง 18 เดือน เพื่อใช้เวลาในการคิดและอ่านค้นคว้าสิ่งต่างๆ จนตกผลึก จึงมาก่อตั้ง SoftBank ในเดือน ก.ย. 1981 โดยเริ่มจากการเป็นตัวแทนจำหน่ายซอฟต์แวร์แพ็คเก็จ และเข้าสู่วงการสิ่งพิมพ์ในปี 1982 ออกนิตยสารรายเดือน Oh! PC และ Oh! MZ จนต่อมาได้กลายเป็นบริษัทสื่อเทคโนโลยีและงานแสดงสินค้าคอมพิวเตอร์ที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น

ในปี 1992 ได้จัดตั้ง SoftVenture Captital ขึ้นเพื่อดูแลเรื่องการลงทุน
ในปี 1994 จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ด้วยมูลค่า 3 พันล้านเหรียญ และเริ่มขยายตัวโดยการลงทุนในบริษัทต่างๆ อย่างจริงจัง

มีการลงทุนบริษัทในอเมริกาหลายตัว เช่น
1995 ซื้อ Comdex ผู้จัดงาน computer trade fair ที่ใหญ่ที่สุดในโลกรายนึง จาก Interface Group
1996 ซื้อ Ziff-Davis Communications ผู้ผลิตนิตยสารคอมพิวเตอร์ชั้นนำอย่าง PC week magazine

ถึงจุดๆ นี้ ผมมองแล้วคุ้นๆ เหมือนบริษัทสื่อหลายรายที่อาจจะไม่ได้สร้างรายได้จากการขายหนังสือหรือโฆษณามากนัก แต่กลับไปทำรายได้จากการจัดงานอีเวนท์ เพราะผู้คนอยากได้ประสบการณ์ที่สัมผัสได้มากกว่าการอ่าน แต่นั้นคือสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อ 20 ปีที่แล้วก่อน SoftBank จะผันตัวเข้าสู่การเป็นบริษัทลงทุนแบบเต็มรูปแบบ

ในปีเดียวกัน SoftBank เจรจากับ Yahoo! และได้ก่อตั้ง Yahoo! Japan ขึ้น โดยปรับทุกอย่างให้เหมาะสมกับความต้องการของคนญี่ปุ่น ไม่ได้อเมริกาจ้าจนเกินไป และมันก็ได้พิสูจน์แล้วว่าธุรกิจนี้สามารถอยู่รอดได้ในญี่ปุ่นอย่างเข้มแข็งในยุคที่ Google ครองโลก

ปี 1999 SoftBank กลายเป็น Holding company และปี 2000 ได้มีอภิมหาดีลในตำนานที่ไปลงทุนกับ 2 หนุ่มจากหังโจว นั้นคือ Jack Ma และ Joseph Tsai ผู้ก่อตั้ง Alibaba (ซึ่งเวลาต่อมาในปี 2014 หุ้น 30% ของ SoftBank ที่จ่ายไป $20 ล้าน ก็กลายเป็น $60,000 ล้าน จากการเข้าตลาดหุ้นที่อเมริกา)

แต่เอาเข้าจริงโลกไม่สวยหรูตลอด อย่างที่เราทราบกันวิกฤตฟองสบู่ Dot com ล่มสลาย ก็ส่งผลกระทบกับ SoftBank ราวช่วง 2001 มูลค่าหุ้นของ SoftBank ตกลง 98% จากที่เคยสูงถึง 198,000 yen เหลือเพิ่ง 1,542 yen ทำให้ SoftBank แทบจะเรียกได้ว่าหายไปจากวงการเทคโนโลยีของโลกไปช่วงหนึ่ง และต้องหันกลับมาโฟกัสที่ตลาดญี่ปุ่นเพราะไม่มีเงินลงทุน

กระนั้นเลยในปี 2006 ก็ยังสร้างดีลใหญ่สุด $78,000 ล้าน ในการซื้อ Vodaphone Japan จากอังกฤษแล้วเปลี่ยนชื่อมาเป็น SoftBank Mobile ทำให้กลายเป็นผู้เล่นรายใหญ่ในวงการ Telco ขึ้นต่อกรกับ NTT Docomo เจ้าตลาดเดิม และก็ยังเป็นคนที่เอา iPhone เข้ามาขายสร้างรายได้อย่างถล่มทลายในญี่ปุ่นในเวลาต่อมา

2010 SoftBank ครบรอบ 30 ปี Son ได้แถลงวิสัยทัศน์ในการสร้าง corporate DNA ให้ SoftBank เป็นบริษัทชั้นนำที่จะเติบโตต่อไปอีก 300 ปี โดยมีพื้นฐานความเชื่อในเรื่องของ Singularity หรือจุดที่คอมพิวเตอร์จะฉลาดเหนือมนุษย์ SoftBank จึงวางแผนลงทุนในการพัฒนาด้านเทคโนโลยี ซึ่งสามารถสรุปอยู่ในวลีสั้นๆ ว่า Information Revolution – Happiness for everyone โดย SoftBank จะมุ่งช่วยเหลือชาวโลกที่อยู่ในความโศกเศร้า เข้าไปแก้ปัญหาต่างๆ อาทิ Death (ความตาย), Loneliness (ความเปล่าเปลี่ยว), และ Despair (ความสิ้นหวัง)

2013 ซื้อ Sprint ผู้ให้บริการเครือข่ายไร้สายอันดับ 4 ของอเมริกาที่กำลังประสบปัญหา ด้วยเงิน 2 หมื่นล้านเหรียญ สำหรับหุ้น 78%

2014 เปิดตัว Pepper หุ่นยนต์ที่พัฒนาร่วมกับ Aldebaran Robotics SAS จากฝรั่งเศส และสร้างโดย Foxconn

2016 เข้าซื้อ ARM Holdings ผู้ออกแบบสถาปัตยกรรมเทคโนโลยีชิปประมวลผล (CPU) แบบความร้อนต่ำ ทำให้คอมพิวเตอร์ขนาดลดลงเป็นสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตได้ เพื่อเป็นการคว้าโอกาสจาก IoT เนื่องจาก ARM มักจะถูกเป็นตัวเลือกของผู้ผลิตสมาร์ทโฟน รวมถึงอุปกรณ์พกพาหลายเจ้า

2017 ระดมทุนก่อตั้งอภิมหากองทุน Vision Fund จำนวน 1 แสนล้านเหรียญ ($100 billion) เพื่อลงทุนด้านเทคโนโลยี โดยกำหนดเงินลงทุนขั้นต่ำอยู่ที่ 100 ล้านเหรียญ แล้วเข้าซื้อหุ้นจากเหล่ายูนิคอร์น (บริษัทที่มีมูลค่ามากกว่าพันล้านเหรียญ) ไม่ว่าจะเป็น Uber, Grab, ByteDance, GM Cruise, Didi Chuxing, Slack, WeWork, FlipKart, OneWeb, Plenty, Doordash และอื่นๆ อีกมากมาย นอกจากนี้ยังมีการลงทุนในโครงการผลิตไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกซึ่งก่อสร้างขึ้นที่ซาอุดิอาระเบีย จากเหตุการณ์โรงงานนิวเคลียร์ระเบิดที่ Fukushima เมื่อปี 2011 ทำให้เขาตระหนักเรื่องพลังงานสะอาดที่จะสามารถเข้ามาทดแทน โดยเฟสแรกของโครงการนี้จะสามารถจ่ายเข้าในระบบอยู่ที่ 7,200 เมกะวัตต์ และจะทยอยสร้างโรงไฟฟ้าไปจนถึงปี 2030 พลังงานที่จะจ่ายเข้าระบบหลังแล้วเสร็จจะอยู่ที่ 200 กิกะวัตต์ สามารถจ่ายไฟให้บ้านเรือนประชาชนได้ถึง 150 ล้านหลังคาเรือนเลยทีเดียว

ธันวาคม 2018 SoftBank Corp เข้าเทรดในตลาดหลักทรัพย์โตเกียวด้วยมูลค่า 2.65 ล้านล้านเยน (23,500 ล้านเหรียญ)

Leave a Reply